thติดต่อเรา (02) 800-2630
thติดต่อเรา (02) 800-2630

พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร: พระพุทธรูปทองเนื้อเจ็ดน้ำสองขาแห่งสุโขทัยหรือรัตนโกสินทร์ โดย ผศ. สุทธพร รัตนกุล

พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร: พระพุทธรูปทองเนื้อเจ็ดน้ำสองขาแห่งสุโขทัยหรือรัตนโกสินทร์ โดย ผศ. สุทธพร รัตนกุล

พระพุทธรูปที่พุทธศาสนิกชนเคารพกราบไหว้บูชากันมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลจนถึงปัจจุบันนั้นเป็นศาสนวัตถุที่มีคุณค่าแห่งจิตใจเพราะเป็นตัวแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐและวัสดุที่ใช้สร้างพระพุทธรูปก็มีหลายประเภททั้งที่หาได้ไม่ยากราคาไม่สูงมาก เช่น ไม้ ปูน หิน และวัสดุที่หาได้ยากโดยนำมาแกะสลักเป็นองค์พระและมีราคาสูง เช่น ทับทิม ไพลิน มรกต งาช้าง หยก (เช่น พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกตที่แกะสลักจากหยกเขียว) รวมถึงการตกแต่งพระพุทธรูปให้งดงามยิ่งขึ้นด้วยอัญมณีมีค่าสูงต่างๆ เช่น เพชร หรือสารอินทรีย์ เช่น ไข่มุก หรือสร้างองค์พระด้วยการหลอมโลหะมีค่าหลายชนิด อย่างเช่นทองสัมฤทธิ์/สำริด (โลหะประสมระหว่างทองแดง ดีบุก สังกะสี หรือตะกั่ว) ทองเหลือง (โลหะประสมระหว่างทองแดงและสังกะสี) ทองแดง เงิน และทองคำซึ่งมีมูลค่าสูงที่สุดมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากรเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย หน้าตักกว้าง 3.10 เมตร (6 ศอก 5 นิ้ว) สูง 3.77 เมตร (7 ศอก 9 นิ้ว) หล่อด้วยทองคำแท้ในสมัยโบราณเรียกทองคำที่สร้างองค์พระนี้ว่า ทองเนื้อเจ็ดน้ำสองขาซึ่งเป็นเนื้อทองที่มีความบริสุทธิ์ค่อนข้างสูงเนื่องจากมีส่วนผสมจากโลหะอื่นไม่มาก ทองเนื้อเจ็ดน้ำสองขาคือทองอะไร? เป็นการจำแนกความบริสุทธิ์ทองคำตามมาตราทองคำของไทยโบราณ โดยสี่ขา (สี่สลึง) เท่ากับหนึ่งน้ำ (มวลสารทองคำ) เจ็ดน้ำสองขาเท่ากับ 7.5 (เจ็ดน้ำสองสลึง) และแบ่งได้เป็น ทองเนื้อสี่ ทองเนื้อห้า ทองเนื้อหก ทองเนื้อเจ็ด ทองเนื้อแปด และทองเนื้อเก้า [หรือทองนพคุณ คือทองบริสุทธิ์ชั้นยอดเทียบเท่ากับทอง 100% (24K) ในปัจจุบันส่วน K=Karat กะรัตคือหน่วยวัดเปอร์เซ็นต์ทองคำและทองเนื้อต่างๆนี้มาจากอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดเมืองเชียงแสนโบราณ ดังนั้นจึงไม่มีทองเนื้อสิบและทองเนื้อเก้าจึงมีราคาสูงสุด, ผู้เขียน] (ที่มา: เงินตราของไทย, พระวรภักดิ์พิบูลย์, 2504) โดยทองเนื้อสี่จะเป็นทองที่คุณภาพด้อยที่สุดคือมีโลหะหรือแร่ธาตุอื่นเจือปนมากที่สุด หมายถึงทองคำน้ำหนักหนึ่งบาททองคำแต่มีมูลค่าการซื้อขายเพียงสี่บาท และคุณภาพสูงที่สุดคือทองเนื้อเก้าซึ่งมีมูลค่ามากถึงเก้าบาท เพราะแทบไม่มีโลหะอื่นเจือปน (ราคามูลค่าทองคำโบราณตามประกาศในสมัยรัชกาลที่ 4 (พ.ศ.2394-2411) ดังนั้นทองเนื้อเจ็ด (ประมาณ 75%-80% 18K-20K) จึงถือว่าเป็นทองที่มีความบริสุทธิ์ค่อนข้างสูง ทำไมพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร หรือที่รู้จักกันดีว่า พระสุโขทัยไตรมิตรหรือหลวงพ่อทองคำ จึงเป็นพระพุทธรูปที่รู้จักกันระดับโลกที่กินเนสบุ๊คมาบันทึกสถิติไว้ในปี 2533? ตามข้อความที่บันทึกไว้ “Highest intrinsic value is the 15th-century gold Buddah in Wat Trimitr Temple in Bangkok, Thailand. It is 3-04 m 10 ft tall and weighs an estimated 51/2 tonnes. At the April 1990 price of $ 227 per fine ounce, its intrinsic worth was $ 21.1 million. The gold under the plaster exterior was found only in 1954.” (แปลได้ว่า “มูลค่าสูงสุดแท้จริงคือพระพุทธรูปทองคำสมัยศตวรรษที่ 15 ในวัดไตรมิตรในกรุงเทพฯ ประเทศไทย สูง 3-04 เมตร 10 ฟุต และหนักประมาณ 51/2 ตัน ณ ราคาเดือนเมษายน 2533 ที่ 227 ดอลลาร์ต่อออนซ์มูลค่าจริง 21.1 ล้านดอลลาร์ ทองคำที่อยู่ใต้ปูนปลาสเตอร์ภายนอกพบในปี พ.ศ. 2497”) (ที่มา: //m.facebook.com/WatTrimitrWithayaramWorawihan) ก็เพราะองค์พระนี้สร้างจากทองคำแท้ที่มีน้ำหนักทั้งองค์มากถึง 5.5 ตัน (5,500 กิโลกรัมหรือ 361,267.50 บาท) [ปัจจุบันปี 2567 ทองคำ 96.50% (23K) มีราคาต่อบาทละมากกว่าสี่หมื่นบาทแล้ว] ฐานถึงองค์พระหล่อจากทองคำประมาณ 40% (เกือบ10K) ส่วนพระพักตร์หล่อจากทองคำประมาณ 80% (เกือบ 20K) และส่วนพระเกตุมาลา (ส่วนยอดแหลม) ที่หล่อในยุคปัจจุบันเพื่อถวายองค์พระทำจากทองคำ 99.99% (24K) และหนักถึง 45 กิโลกรัม (2,955.85บาท) ถ้าตีมูลค่าเป็นตัวเลขในยุคปัจจุบันแน่นอนว่าต้องมีราคามหาศาล ใครเป็นผู้สร้างพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร? สร้างเมื่อใด? และมาอยู่ที่วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร (วัดสามจีน) ได้อย่างไร? มีข้อสันนิษฐานว่าพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากรสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 (พ.ศ.  2331-2394) ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เนื่องจากพระพุทธรูปทองคําองค์นี้น่าจะหล่อขึ้นในสมัยเดียวกันกับการสร้างวัดพระยาไกรในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นสมัยที่มีการสร้างวัดเป็นจำนวนมากประมาณ 60-70 วัด รวมถึงวัดพระยาไกรนี้ด้วยโดยผู้สร้างวัดพระยาไกรคือพระยาไกรโกษาผู้เป็นเสนาบดีจัตุสดมภ์ผู้มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยมากในสมัยนั้นและต้องการสร้างพระประธานขนาดใหญ่ประจำวัดของตนจึงได้รวบรวมเงินทองเพื่อสร้างพระพุทธรูปทองคํา โดยให้ช่างออกแบบให้ถอดแยกองค์พระได้เก้าชิ้นและมีกุญแจสำหรับไขเพื่อถอดแยกส่วนด้วยเผื่อเกิดศึกสงครามจะได้ขนย้ายได้สะดวกเพราะองค์พระหนักมาก ส่วนข้อสันนิษฐานที่ว่าสร้างในสมัยสุโขทัยนั้นมีประเด็นขัดแย้งอยู่ที่ศิลาจารึกที่ได้กล่าวถึงการหล่อพระพุทธรูปในสมัยพ่อขุนรามคําแหงตามหลักฐานที่ว่าหล่อด้วยทอง แต่ในสมัยนั้นเรียกทองสัมฤทธิ์ว่าทอง ส่วนทองคํานั้นเรียกเพียงว่า “คํา” ไม่ได้เรียกว่าทองคำเหมือนในปัจจุบัน ดังนั้นจากศิลาจารึกจึงยืนยันว่าพระพุทธรูปที่สร้างที่อาณาจักรสุโขทัยหล่อจากทองสัมฤทธิ์ ไม่น่าเป็นทองคํา จึงไม่ใช่พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากรที่ถูกปูนพอกองค์นี้และอยู่ที่วัดพระยาไกรมานานหลายสิบปี ต่อมามีการย้ายองค์พระที่ถูกปูนพอกไปที่วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ตอนแรกองค์พระประดิษฐานอยู่ในเพิงสังกะสีนานกว่า 20 ปี ต่อมามีการสร้างวิหารใหม่ไว้เป็นที่ประดิษฐานองค์พระโดยเฉพาะคือวิหารสุโขทัยไตรมิตร จึงต้องเคลื่อนย้ายองค์พระในขณะเคลื่อนย้ายองค์พระไปยังวิหารใหม่ที่วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหารนี้เองปูนที่พอกได้กะเทาะแตกออกเมื่อพ.ศ.2497 หรือเมื่อ 70 ปีที่แล้ว ทำให้เห็นองค์พระภายในเป็นทองคำเหลืองอร่ามสุกปลั่ง ปลายปีพ.ศ.2550 ในหลวงรัชกาลที่ 9 (พ.ศ.  2470-2559) โปรดเกล้าฯ ให้มีการสร้างพระมหามณฑปถวายพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร แทนพระวิหารองค์เดิมและพระทองคำนี้ก็ยังคงประดิษฐานอยู่ที่นี่มานานกว่า 150 ปีแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 (พ.ศ.  2347-2411) มาจนถึงปัจจุบัน และวัดพระยาไกรกลายเป็นวัดร้างและถูกรื้อถอน (ที่มา: ตำนาน “วัดพระยาไกร” กับ “พระพุทธรูปทองคํา” หนักกว่า 5 ตัน ก่อนย้ายสู่ “วัดไตรมิตร”, ศิลปวัฒนธรรม, สิงหาคม 2542) ถึงแม้พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากรจะมีมูลค่าสูงมากถ้าดูจากน้ำหนักทองคำที่สร้างเป็นองค์พระแต่ก็ประมาณเป็นเม็ดเงินไม่ได้สำหรับการซื้อขายเหมือนวัตถุอื่นๆ เพราะเป็นสมบัติของชาติของคนไทยทุกคน เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทย เป็นสมบัติของพุทธศาสนาและเป็นที่ระลึกถึงพระคุณแห่งองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ผู้เป็นองค์ศาสดาแห่งบวรพุทธศาสนา ดังนั้นจึงประมาณค่าไม่ได้ และจะเป็นสิริมงคลมากถ้าท่านได้ไปกราบและนั่งสมาธิภาวนาสงบจิตใจหน้าองค์พระสักห้านาทีเป็นอย่างน้อย โดยถวายบุญกุศลนี้เป็นพุทธบูชา พึงระลึกไว้เสมอว่าท่านไม่ได้กราบหรือบูชาโลหะมีค่าอย่างทองคำแต่ท่านระลึกถึงและกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะเป็นอานิสงส์ยิ่งใหญ่มหาศาลต่อตัวท่านเอง