วิทยาลัยศาสนศึกษาและคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
เสนอผลการวิจัยเรื่อง “วิเคราะห์ผลการศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน
ด้วยสัญญาณคลื่นสมองระบบวิทยาศาสตร์”
วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เวลา ๐๙.๓๐ น. วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล โดยคณะผู้วิจัยอันประกอบด้วย ดร.ปิยะดี ประเสริฐสม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ดร.พระราชสิทธิมุนี (วิ.) นายพงษ์ศักดิ์ หมื่นศักดา นางสาวฐิติพร สีวันนา และนางสาวเบญจวรรณ นิลคง ได้จัดการประชุมเพื่อเสนอผลการวิจัยเรื่อง “วิเคราะห์ผลการศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ด้วยสัญญาณคลื่นสมองระบบวิทยาศาสตร์” ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดล ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ณ ห้องประชุมน้ำทอง วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา
การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) เป็นโครงการความร่วมมือทางวิชาการระหว่างวิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล กับ ภาควิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และสถาบันวิปัสสนาธุระ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โครงการนี้เป็นโครงการส่งเสริมการยกระดับการศึกษาวิจัยและการปฏิบัติกรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ในพระพุทธศาสนา โดยประยุกต์เข้ากับการใช้เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นนามธรรมให้เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน
วัตถุประสงค์ของการวิจัยมี ๓ ประการ คือ ๑) เพื่อศึกษาพัฒนาการสติปัฏฐาน ๔ และผลสัมฤทธิ์ในวิปัสสนาญาณ ๒) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ของวิปัสสนาญาณที่เกิดจากการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ต่อสัญญาณสมองโดยใช้ระบบวิทยาศาสตร์ และ ๓) เพื่อศึกษาผลวิเคราะห์พัฒนาการสติปัฏฐาน ๔ และผลสัญญาณสมองด้วยระบบวิทยาศาสตร์ที่มีต่อการพัฒนาสุขภาพกายและใจของผู้ปฏิบัติ และนำองค์ความรู้ที่ได้ประยุกต์ใช้เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อบุคคล สังคม และประเทศชาติ
ผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ยาก เนื่องจากเป็นนามธรรมและรู้ได้เฉพาะผู้ปฏิบัติ คณะผู้วิจัยจึงนำอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์มาช่วยพิสูจน์เพื่อเป็นข้อมูลเชิงรูปธรรม โดยเชื่อมต่อสัญญาณสมองเข้ากับคอมพิวเตอร์ (BCI : Brain Computer Interface) ก่อนและหลังการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนได้กลุ่มตัวอย่าง ๔๔ รูป/คน ดังกล่าว
ผลการวิจัยนี้พบว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานส่งผลดีต่อผู้ปฏิบัติในการเพิ่มภาวะความสงบนิ่ง และลดความฟุ้งซ่านหรือความเครียด เนื่องจากการนั่งวิปัสสนากรรมฐานจะช่วยเพิ่มปริมาณคลื่นสมองช่วงความถี่ต่ำ และลดปริมาณคลื่นสมองช่วงความถี่สูง (ความถี่ของคลื่นสมอง เรียงจากสูงไปต่ำ ได้แก่ High Beta/ความวิตกกังวล, การตื่นตัวมากเกินไป Beta/การคิด, ความมุ่งมั่น, ความตั้งใจ Alpha/ความเตรียมพร้อมในการทำงาน, ความสงบ Theta/ความคิดสร้างสรรค์, ความคิดที่ลึกซึ้ง และ Delta/การนอน, การซ่อมแซมสมอง, การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน)
ในกลุ่มผู้ไม่เคยปฏิบัติวิปัสสนามาก่อน พบว่าหลังการปฏิบัติแล้ว ผู้ปฏิบัติมีความสงบนิ่ง หรือแสดงถึงความพร้อมของสมองที่จะทำงานและแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ในกลุ่มผู้เคยปฏิบัติมาก่อน พบว่าหลังจากการปฏิบัติแล้ว มีการทำงานของสมองที่สอดคล้องกับความคิดเชิงลึกซึ้ง
จากผลการวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์นี้สอดคล้องกับหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในมหาสติปัฏฐานสูตรว่าด้วยการเจริญสติปัฏฐานซึ่งเป็นทางสายเดียวที่ปฏิบัติเพื่อความบริสุทธิ์ เพื่อความดับทุกข์ เพื่อบรรลุพระนิพพาน จึงควรส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปนำวิธีการปฏิบัติกรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ นี้ไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์และสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยนี้ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างขวางต่อไป
ในวันนำเสนอผลการวิจัยเรื่องนี้ มีการสาธิตการวัดสัญญาณสมองโดยใช้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อสัญญาณสมองเข้ากับคอมพิวเตอร์ (BCI : Brain Computer Interface) แสดงผลการวัดคลื่นสมองบนจอฉายภาพ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิงสาคร ธนมิตต์ ผู้เข้าร่วมฟังการเสนอผล ได้อาสาเป็นผู้รับการวัดสัญญาณสมองตอนนิ่งสงบ ตอนพูด และตอนกัดฟัน ทำให้ที่ประชุมประจักษ์เห็นผลความแตกต่างของสมองในแต่ละอารมณ์ และเข้าใจการนำเสนอผลการวิจัยมากยิ่งขึ้น